วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2550

"Life is like a box of chocolate, you never know what you are gonna get”


นานพอสมควรรับที่ ไม่ได้ เข้ามา ขีดๆเขียนๆ บ่นๆ อะไร ที่นี่ เพียง เเต่ ว่า ยุ่งๆ อยู่กับหลายๆอย่าง ในชีวิต เลย ไม่ค่อย มีเวลา มา

อัพ เดท บล๊อก เท่าไหร่ ท่านสมาชิก ขา ประจำสองท่าน ตอนนี้ เป็นอย่างไรกัน บ้าง ใคร บาง คนที่จะได้ ไปสิงคโปร์ เตรียม พร้อม รึ

ยัง เอ่ย พี่จิ๋ว สหายเก่า ละครับ ยัง ถวิล หา เพื่อน สาว ของ ผม คนนั้น อยู่ รึเปล่า อิอิอิอิอิ

มาคราว นี้ ผม จะขอเป็น ส่วน หนึ่งของการ บันทึกประวัติศาสตร์ ของ ภาพยนต์เรื่องๆ หนึ่ง ที่ ได้ดู เเล้ว รู้ สึกว่า ประทับ ใจ มากๆ

เเละ ก็ ตามเคย ครับ ขอ เเสดง ความสามารถ อันน้อยนิด วิจารณ์เกี่ยวกับภาพยนต์เรื่องนี้ คิดว่า ภาพยนต์เรื่องนี้ หลายๆ ท่านเคย ดู เเล้ว อย่างเเน่นอน นั่นคือ FORREST GUMP

มีประโยค หลายๆ ประโยค ที่ เกิด ขึ้นในภาพยนต์เรื่อง นี้ ที่ทำให้ ผมรู้ สึกว่า ประทับ ใจ มากๆ

FORREST GUMP

เป็นภาพยนต์ เเนวๆ drama + comedy เกี่ยวกับ FORREST GUMP ชายที่เกิดมา พร้อม กับ ความอัจฉริยะ ปัญญานิ่ม


ความรู้สึกที่เเสดง ออกมาที่ เเสนจะใส ซื่อบริสูทธิ์ ความรักของ gump ที่มีต่อ เเม่ เจนนี่ ผู้หมวด เเดน เเละ บับบา ความสามารถที่

เติมเต็ม กับสิ่งที่ขาดหาย ไป เพราะ ใครหลายๆคน มักจะเรียก เขา ว่า Stupid เสมอ เเต่ถึงอย่างไร บทบาท character ของ

Gump สามารถชี้ให้เราเห็นได้ เเละ เป็น เเรง บันดาล ใจ ให้กับ ใครหลายๆคน บนโลกนี้ ได้ (อ้างอิง จาก wikipedia)

ไม่ขอวิจารณื อะไร มาก ครับ เพราะ ตอนที่พิมพ์ ไป ก็ฟังเพลง ประกอบ ภาพยนต์ไปด้วย เเล้ว รู้ สึกอินน์ กิบหนังไปในตัว น้ำ ตา จะ

ไหล (กระซิกๆ)

เอาเป็น ว่า ผม มี ตัวอย่าง ภาพยนต์เรื่อง นี้ มาให้ ชมกัน ครับ



เเละนี่ Tom Hank ได้รับรางวัล ออสการ์ นักเเสดง นำ ยอดเยี่ยม(รึเปล่าหว่า ฟังไม่ออก)




ใครมีหนัง ดีๆ ทั้งเก่าใหม่ ก็เเนะนำ กันนะครับ

วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2550

ความขัดแย้ง



มนุษย์เรานี่ก็เเปลกเหมือนกันนะ ทำไม ในเมื่อ ความรู้สึก หรือความคิด ของ คนอีกคน ไม่เหมือน คนอีกคนหนึ่ง จำเป็นด้วยหรือที่จะเรียกว่าความขัดเเ้ย้ง จำเป็นด้วยหรือที่จะต้องมาทะเลาะเพราะ ว่าอีกคนหนึ่ง ไม่เห้นด้วย เเละ ยิ่งน่าสมเพชเเละน่า สะอิดสะเอียน มากขึ้นเมื่อ ความเห็น ที่เป็นเรื่อง งี่เง่า ไร้สาระ บางครั้งก็เกิดคำถามขึ้น อะไรกันนักหนา(วะ)

สุดท้ายเเล้วก็เเต่ปลงตกเเละ ยอมรับสภาพเเม้ ว่า จะเป็นอย่างไรก็ตาม ถือ ว่าเป็นบทเรียน เเละประสบการณ์ เก็บไว้เป็นครูสอนเราไปตลอดชีวิต

ความขัดเเย้งมีอยู่ด้วยกันหลายๆสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น ผลประโยชน์ ข้อมูล โครงสร้าง ความสัมพันธ์ ค่านิยม ยอมรับว่า ในทุกๆวัน เจอความขัดเเย้งเหล่านี้ด้วยกันทั้งนั้น

ผลที่ตามมาของความขัดเเย้งถ้าไม่ใช่การไกล่เกลี่ย ก็คงจะเป็น ใช้กำลัง

ถึงขั้นเกิดสงคราม สงครามมีมาพร้อม กับมนุษยชาติ ถึงขั้น เกิดการ ฆ่าล้างเผ่าพันธ์ เพราะ เมื่อ คิดว่า เผ่าพันธ์หนึ่ง มีความเห็น ที่ไม่ตรงกับ ชาติพันธ์หรือเผ่าพันธ์ ของตัวเอง อย่าง สงครามศาสนา หรือเกิดการ ขัดผลประโยชน์ เรื่อง ทรัพยากร เรื่องปากท้องของ คนทั้งประเทศ

ย้อนกลับมาดูหน่วยที่เล็กที่สุด คือตัว เรา บางครั้ง ความขัดเเย้ง ก็คยเกิด เหมือนกัน คำถามที่เกิด ขึ้นมักจะมีคำว่า "ทำไม" ร่วมอยู่ด้วย

อนาคตการทำงานวันข้างหน้า ไม่รู้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเราเองบ้าง ไม่สามารถทำนายได้ เเต่ ทำอย่างไรดี จึงจะจัดการกับความขัดเเย้งเหล่านี้ได้

วันพุธที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2550

โชคดี


เมื่อวานได้ดูหนังเรื่องหนึ่ง เป็นภาพยนต์ที่สร้างมาจากชีวิตจริงของนักมวยไทยเชื้อสาย ฝรั่งเศสที่ข้ามน้ำข้ามทะเล มาเพื่อเรียน ศิลปการต่อสู้ที่เรียกว่ามวยไทย หนังเรื่องนี้มีชื่อ ว่า Chok dee ชื่อเป็นภาษาไทย ตามตัวเลย ผมก็เลยขอเอา บทความที่เป็น บทสัมภาษณ์ ของนักมวย ไทย เชื่อสาย ฝรั่ง เศส ที่ชื่อว่า Dida มาให้ท่านได้อ่าน กัน เชิญอ่านครับเชิญอ่าน

"สำหรับผมแล้ว มวยไทย คือศิลปะการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุด ทำให้ไม่คิดจะหันไปสนใจการต่อสู้ในแบบอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น คาราเต้, กังฟู หรือ เควัน อะไรก็แล้วแต่ เพราะมวยไทยเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดแล้ว และก็สามารถเปลี่ยนชีวิตผมได้ในทุกวันนี้”

แทบจะเป็นเรื่องปกติสำหรับการแข่งขันชกมวยไทยในสนามมวยทั้ง "ลุมพินี" และ "ราชดำเนิน" ที่เราคนไทยจะได้ประสบพบเห็นเหล่าบรรดากองทัพชาวต่างชาติที่ต่างเดินทางมาจากทั่วทุกสาระทิศเพื่อซึมซับบรรยากาศอันน่าตื่นตาตื่นใจของการประเคนหมัดเท้าเข่าศอกเข้าหากัน พร้อมชมการต่อสู้ที่เปรียบดั่งการร่ายรำของนักชกบนสังเวียนที่ห้ำหั่นกันเพียง 5 ยก ก็จบการแข่งขันของแต่ละคู่

ใครจะรู้บ้างว่าสำหรับชาวต่างชาติบางคนที่ยอมทุ่มตัว เทหัวใจให้กับ แม่ไม้มวยไทยอย่างไม่ลืมหูลืมตา จะสามารถขยับตัวเองจากเด็กกำพร้าสู่ตำแหน่งนักกีฬาซูเปอร์สตาร์เพียงชั่วข้ามปีด้วยศาสตร์การต่อสู้ของลูกหลานนายขนมต้มชนิดนี้

1
ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าวคุกคามกรุงเทพฯ ทีมข่าวกีฬาของ "ผู้จัดการรายวัน" มีนัดกับหนุ่มฝรั่งเศสอดีตนักมวยไทยชื่อกระฉ่อนบนแผ่นดินยุโรป ที่ปัจจุบันผันตัวเองจากซูเปอร์สตาร์บนผืนผ้าใบสู่วงการบันเทิงอย่างไม่ขัดเขิน

ทันทีที่เราไปถึงโรงแรมคอนราร์ดฯ ก็ได้พบกับชายชาวต่างชาติผิวขาว รูปร่างเล็ก ทว่าดูแกร่งเกร็งไปด้วยกล้ามเนื้อที่สมส่วนภายใต้การแต่งตัวตามสบายในเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีชมพูอ่อนๆบนเก้าอี้นั่งอย่างสบายอารมณ์ พร้อมด้วยสื่อมวลชนจากหลายสำนัก ที่รายล้อมเป้าหมายของเราอยู่ แน่นอนว่านี่แหละ "ดีด้า ไดเฟต" ที่เรามองหาอยู่

ทันทีที่ได้ทำความรู้จักกันผ่านล่ามสาวหน้าหวาน ดีด้า แสดงท่าทีเป็นมิตร


อย่างเห็นได้ชัด พร้อมกับกล่าว "สวัสดีครับ" เป็นภาษาไทยอย่างคุ้นลิ้น โดยอดีตนักชกหนุ่มวัย 37 ปีเล่าให้เราฟังถึงพรหมลิขิตอันเป็นจุดเริ่มต้นที่นำพามารู้จักกับ "มวยไทย" กีฬาที่เขารักอย่างแนบแน่นว่า

"ผมเป็นเด็กกำพร้าจากตอนเหนือของกรุงปารีสในฝรั่งเศส ต้องอาศัยอยู่กับคุณยาย แต่ก็ไม่ได้ใกล้ชิดอะไรมากมายนัก การมีชีวิตเติบโตจากครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์แบบจากย่านที่เปรียบเหมือนแหล่งเสื่อมโทรม ทำให้ผมมีชีวิตที่ผิดทางต้องเข้าไปอยู่ในคุก แต่เหมือนโชคชะตาลิขิตที่นั่นแหละทำให้ผมได้เกิดใหม่และรู้จักกับมวยไทย”

“วันหนึ่งระหว่างรับโทษมีเพื่อนร่วมคุกนำภาพถ่ายการชกมวยไทยในประเทศไทยให้ดู มันทำให้ผมรู้สึกทึ่งมากเลยทีเดียว ผมตกหลุมรักมวยไทยตั้งแต่แรกเห็น พอเพื่อนเล่าเรื่องราวต่างๆนานาที่เกี่ยวข้องกับกีฬาชนิดนี้ให้ฟัง ผมเริ่มมีความรู้สึกอยากมาเห็นและเรียนรู้ด้วยตัวเองบ้าง"

จุดเริ่มต้นดังกล่าวนี่เองทำให้อดีตเด็กวัยรุ่นจอมเกเรวัย 18 ปี ตัดสินใจเก็บข้าวของจากบ้านเกิดเพื่อเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงลุ่มน้ำเจ้าพระยาในเมืองไทย โดยจุดหมายแรกที่หัวใจของ ดีด้า นำพามาก็คือ "สนามมวยลุมพินี" ซึ่งเป็นจุดหมายเดียวที่หนุ่มน้อยในวันนั้นรู้จักเกี่ยวกับเมืองไทยนั่นเอง

"มันตื่นเต้นมากที่ได้มาดูมวยไทยที่เวทีลุมพินี นั่นเป็นที่แรกที่ผมต้องการจะไปในเมืองไทย ผมได้ดูนักชกทั้งสองฝ่ายบนเวทีกำลังออกอาวุธทั้งหมัด เท้า เข่า ศอก เข้าใส่กันอย่างเมามัน โดยมีเสียงคนดูรอบสนามโห่ร้อง โอ้ว โอ้ว โอ้ว เป็นจังหวะ มันเรียกความรู้สึกคึกคักเร้าใจมาก ในบรรยากาศแบบนั้นมันทำให้เลือดผมสูบฉีดอย่างแรง เห็นแล้วก็ต้องร้องอุทานออกมาอย่างลืมตัวเลย กับการต่อสู้บนเวทีของจริงในวันนั้น"

ก้าวต่อไปที่ทำให้ ดีด้า นำพาตัวเองเข้าสู่ค่ายมวย "ส.เพลินจิต" ได้นั้น อดีตนักชกสายเลือดน้ำหอมกล่าวว่า

"ระหว่างที่ผมนั่งชมอยู่ในสนามมวยลุมพินี ผมไม่รู้จักใครเลย ผมมาคนเดียว และก็รู้ทันทีว่ามวยไทยนี่แหละคือสิ่งที่ต้องการ ตอนนั้นผมเห็นผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในที่นั่งอยู่ใกล้เวทีคนหนึ่ง มีคนเข้าไปยกมือไหว้เขามากมาย ผมก็เลยคิดว่าต้องเข้าไปรู้จักคนๆ นี้ให้ได้เลยไปดักรอเขาตรงทางออก จนผมได้พบกับเขา หรือคุณทองดี ที่เป็นเจ้าของค่ายมวยไทย "ส.เพลินจิต" ผมได้เข้าไปฝากตัวกับเขาและก็ได้ไปกินอยู่หลับนอนและเริ่มต้นฝึกซ้อมมวยไทยอยู่ที่นั่นตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา"



2
นับจากก้าวแรกที่เข้าสู่ค่ายมวยไทย นักชกหนุ่มจากฝรั่งเศสรายนี้ใช้เวลาบ่มเพาะประสบการณ์การฝึกซ้อมเป็นเวลานานถึง 2 ปี กว่าจะก้าวขึ้นสู่บัลลังก์แชมป์มวยไทยโลก โดยเคยผ่านศึกใหญ่บนเวทีเมืองไทยที่ได้รับการการันตีว่าเป็นของจริงอย่าง "ศึกวันทรงชัย" มาแล้ว พร้อมทั้งเคยมีชื่อเป็นเจ้าของเข็มขัดแชมป์โลกมวยไทยถึง 11 เส้นด้วยกัน จากผลงานดังกล่าวส่งผลให้ ดีด้า มีสถิติการชก 87 ไฟต์ และพบพานกับความพ่ายแพ้เพียงแค่ 8 ไฟต์เท่านั้น

ดีด้า เล่าถึงการฝึกซ้อมและประสบการณ์บนเวทีมวยไทยให้ฟังว่า "ต้องยอมรับเลยว่ากว่าจะประสบความสำเร็จกับมวยไทยได้นั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก ผมต้องอดทนต่อหลายสิ่งหลายอย่าง และที่ทำร้ายเราได้มากที่สุดคือ ความเหงา ตอนซ้อมอยู่นั้น มันทั้งเหนื่อย ทั้งเหงา ผมเป็นชาวต่างชาติตัวคนเดียวที่ต้องซ้อมอยู่ในค่าย สื่อสารกับใครก็ลำบาก ไม่มีเพื่อนและเฝ้าแต่คิดถึงสภาพแวดล้อมเดิมๆ แบบที่เราเคยอยู่ในฝรั่งเศส คิดแล้วก็รู้สึกว้าเหว่มาก แต่บางครั้งผมก็รู้สึกว่าตัวเองมีความสุขมากกับการได้ทำในสิ่งที่ตนเองรัก"

"การต่อสู้บนเวทีมวยไทยแต่ละครั้งมันหนักมาก ต้องเจอกับคู่ต่อสู้ที่เก่งมากๆ และนั่นก็หมายความว่าคงหนีไม่พ้นอาการเจ็บตัวจากการแข่งขันแน่ และการชกบางไฟต์ก็ถ่ายทอดสดไปยังฝรั่งเศสด้วย นั่นยิ่งเพิ่มความตึงเครียดและกดดันให้ผมยิ่งขึ้นไปอีก แต่กลับกันมันก็นำพามาซึ่งความเร่าร้อนในการต่อสู้บนเวทีของผมด้วย ที่สำคัญคือการชกบนเวทีเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมาก ผมไม่เคยชกในเวทีไหนที่มีคนดูเลยแม้แต่ครั้งเดียว การได้อยู่ในบรรยากาศแบบนั้นมันทำให้ผมคึกคักมากจริงๆ" ดีด้า กล่าว

การถ่ายทอดสดการชกมวยไทยกลับไปยังบ้านเกิดนี่เอง ทำให้ ดีด้า เป็นที่รู้จักของผู้ชมจากทั่วโลก อีกทั้งยังเดินสายตระเวนชกในต่างประเทศ ทั้งในอเมริกา และยุโรป ทำให้ชื่อของ ดีด้า ไดเฟต โด่งดังในระดับที่เรียกว่า "ปาปาราซซี่" ต้องตามเก็บภาพมาลงตีพิมพ์ในหนังสือไม่ต่างกับ ซีเนอดีน ซีดาน หรือ เธียร์รี่ อองรี นักเตะดังชื่อก้องของฝรั่งเศสเลยทีเดียว

3
เมื่อวันเวลาไม่เคยโกหกและยังคงทำหน้าที่อย่างเที่ยงตรง จนสภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวยให้กับการชกมวยอย่างทรหดโชกโชนดังเช่นอดีต ดีด้า จึงตัดสินใจหันหลังให้กับกลิ่นสาบสังเวียนเมื่อวัยขึ้นสู่เลข 3 จึงมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่ทำให้หนุ่มสายเลือดเดียวกับนโปเลียนรายนี้เปลี่ยนไปยึดอาชีพทางการแสดงแทน ด้วยการนำชีวิตของนักชกบนเวทีมวยไทยมาตีแผ่บนแผ่นฟิล์มในชื่อว่า "โชคดี"

"มีแฟนๆ จำนวนมากที่รู้จักผมจากการชกมวยไทยจากการถ่ายทอดสดของสถานีโทรทัศน์ในฝรั่งเศส จากความโด่งดังในครั้งนั้นทำให้ผมเขียนหนังสือชีวประวัติของตัวเองขึ้นมา และมันก็ได้รับความสนใจจากผู้สร้างหนัง ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เกิดขึ้นมาได้ ที่สำคัญสามารถขายลิขสิทธิ์ได้มากถึง 125 ประเทศ นั่นทำให้ผมดีใจจนพูดไม่ออกเลยทีเดียว เพราะผมทำมันเองแทบจะทุกอย่าง ทั้งการเขียนบท อำนวยการสร้าง ออกแบบฉาก รวมไปถึงการแสดงเป็นตัวเอกของเรื่อง ผมก็รู้สึกภูมิใจกับมันมาก"

ดีด้า ยังได้เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างชีวิตบนแผ่นฟิล์ม กับการชกมวยไทยด้วยว่า

"การชกบนเวทีผมต้องต่อสู้กับคู่แข่ง มันก็เหมือนกับการอยู่ในธุรกิจภาพยนตร์ที่ผมก็ต้องแข่งขันกันกับคนอื่น เพียงแต่ว่ามันอาจจะเป็นเรื่องที่เบากว่า เพราะระหว่างที่เราอยู่ในโลกของธุรกิจบันเทิง อาจจะมีคนมาเสิร์ฟกาแฟระหว่างทำงาน แตกต่างจากการชกบนเวทีที่ไม่มีถ้วยกาแฟมาให้ผมนั่งจิบแน่"

4
ดารามือใหม่ของเรายังเปิดเผยถึงบุญคุณของ "มวยไทย" ที่ส่งผลให้ตัวเองสามารถพลิกฐานะจากเด็กกำพร้าสู่ความเป็นซูเปอร์สตาร์ได้ในปัจจุบันว่า

"จากการที่คนไทยเป็นคนใจกว้าง ให้การนับถือผู้อื่นเป็นอย่างดี ผมจึงไม่มีปัญหาที่ว่าจะได้รับการดูถูกจากใครเลย ที่สำคัญคือประเทศไทยนั้นมีบุญคุณกับผมมาก"

"สำหรับผมแล้ว มวยไทย คือศิลปะการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุด ทำให้ไม่คิดจะหันไปสนใจการต่อสู้ในแบบอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น คาราเต้, กังฟู หรือ เควัน อะไรก็แล้วแต่ เพราะมวยไทยเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดแล้ว และก็สามารถเปลี่ยนชีวิตผมได้ในทุกวันนี้”

“ในอดีตผมอาจจะลำบาก ยากจนมาก แต่ก็เพราะมวยไทย ที่ทำให้ชีวิตผมในวันนี้ดีกว่าเดิมมากมาย กลายเป็นคนที่มีรถเฟอร์รารี่ขับ แน่นอนว่าผมไม่จนแล้ว มีคนยกย่องมากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องการคือการทำอะไรบางอย่างให้กับประเทศไทยบ้าง"

สิ่งที่ ดีด้า เกริ่นไว้คือการเตรียมงานเปิดตัวรายการ "เรียลิตี้โชว์" ที่จะดึงเยาวชนมาฝึกมวยไทยในค่ายซ้อม เพื่อหาคนเก่งในศาสตร์ "มวยไทย" อย่างจริงจังเสียที

"ผมคิดว่ามีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่มีความสามารถด้านการชกมวยไทย แต่ว่ายังขาดโอกาส และไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นเดินบนหนทางที่ถูกต้องได้อย่างไร ผมคิดว่าเวทีนี้จะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับพวกเขาเหล่านั้น เพื่อสืบต่อศิลปะมวยไทยต่อไป"

ทั้งนี้ ดีด้า คาดว่ารายการเรียลิตี้น้องใหม่รายการนี้จะเปิดตัวให้แฟนๆ ได้ชมกันในช่วงปลายปีนี้ หรือหากติดขัดก็อาจจะเป็นในปีหน้า ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการเจรจาเรื่องการเลือกช่องโทรทัศน์ว่าจะออกอากาศทางสถานีใดในประเทศไทย ที่สำคัญรายการนี้จะมีการถ่ายทอดกลับไปยังประเทศฝรั่งเศส บ้านเกิดของ ดีด้า อีกด้วย

ถึงวันนี้แม้หนุ่มฝรั่งเศสนาม ดีด้า ไดเฟต จะอำลาจากผืนผ้าใบอย่างเป็นทางการไปหลายปีแล้ว แต่ก็ยังมุ่งมั่นที่จะเผยแพร่ศาสตร์การต่อสู้จากลุ่มน้ำเจ้าพระยาสู่สายตาชาวโลกด้วยการทำรายการเรียลิตี้โชว์ ซึ่งเหตุผลเดียวที่ ดีด้า บอกไว้ก็คือ

“มวยไทยคือสิ่งงดงามที่สุดสำหรับผม และผมก็ตกหลุมรักมวยไทยไปตั้งแต่วันแรกที่ได้รู้จักกัน”

****************
เรื่อง - เชษฐา บรรจงเกลี้ยง

เครดิต เว็บผู้จัดการ